สอนเสวนา_Cover_front
ทฤษฎีการศึกษาการศึกษา

หนังสือ สอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก

อ่าน 776 นาที

หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นเพื่อชี้แนวทางจัดการเรียนรู้แบบที่เรียกว่า active learningหรือการเรียนรู้เชิงรุก โดยมีเป้าหมายเพื่อฝึกนักเรียนให้เรียนรู้จากการปฏิบัติตาม ด้วยการคิดที่เรียกว่า การใคร่ครวญสะท้อนคิด (reflection) ที่นำไปสู่การฝึกทักษะการเรียนรู้ที่นักเรียนกำกับการเรียนรู้ของตนเอง (self-directed learning) เป็น ผ่านกระบวนการ สานเสวนา (dialogue) ระหว่างนักเรียนกับครู และระหว่างนักเรียนกับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน

เขียนโดยศาสตราจารย์ นายแพทย์ วิจารณ์ พานิช
17 ธันวาคม 2564
บทที่ 15 การพัฒนาครู (ต่อ) : กิจกรรมครูร่วมกันพัฒนาตนเอง
CP15.png


เนื่องจากเนื้อหาเรื่องการพัฒนาครูค่อนข้างยาว ผมจึงแบ่งเป็น ๒ บันทึก โดยบันทึกที่ ๑๕ นี้ เป็นเรื่องกิจกรรมที่ครูร่วมกันพัฒนาตนเองและพัฒนากันเอง โดยโรงเรียนจัดระบบสนับสนุน ‘หน่วยพัฒนา’ (development units)

นี่คือกิจกรรมตัวจริงของการร่วมกันพัฒนาตนเองของครู โดยโรงเรียนมีระบบสนับสนุน ในที่นี้มีทั้งหมด ๑๐ หน่วย คือกิจกรรมทบทวนใหญ่ตอนกลางเทอม ๑ ครั้ง กิจกรรมทบทวนใหญ่ตอนสิ้นเทอม ๑ ครั้ง และกิจกรรมเป็นวงรอบ ๘ วงรอบ ซึ่งอาจมองว่าเป็นการวิจัย R2R (Routine to Research) เล็กๆ ก็ได้ 

แต่ละวงรอบประกอบด้วย ๕ กิจกรรมคือ (๑) วางแผนและกำหนดเป้าหมาย โดยครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันกำหนด ว่าจะดำเนินการทดลองอะไร เมื่อสิ้นวงรอบจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรที่การพูดในห้องเรียน (๒) ดำเนินการ/ ทดลอง โดยครูสอนบทเรียนที่วางแผนไว้ (๓) รวบรวมข้อมูล นำมาสังเกตร่วมกัน ทีมครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันดูวีดิทัศน์ตอนที่เลือก (๔) ทบทวนและตีความ ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันทบทวนจากการดูวีดิทัศน์ว่าได้เกิดอะไรขึ้นในวงรอบ หรือในบางช่วงของการเรียน (๕) กำหนดจุดพัฒนาต่อเนื่อง ร่วมกันกำหนดว่าในรอบต่อไปจะเน้นพัฒนาอะไร

โปรดสังเกตว่า กิจกรรมนี้มีลักษณะพิเศษคือ ครูเป็นผู้นำการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง โดยจุดเน้นในที่นี้ไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาสาระวิชา (เป็นเรื่องที่ครูแต่ละคนรับผิดชอบเอง) แต่อยู่ที่วิธีการพูดที่นำไปสู่การเรียนรู้สูง

วงรอบที่ ๑ พัฒนาวัฒนธรรมปฏิสัมพันธ์ 
บท54.png
อ้างอิงสาระเชิงหลักการในบันทึกที่ ๕ ของบันทึกชุดสอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุกนี้ กิจกรรมของวงรอบเริ่มด้วยการที่ครูหรือครูพี่เลี้ยงบันทึกวีดิทัศน์การสอนตอนต้นเทอมที่มีการอภิปรายเข้มข้น ตอนเริ่มวงรอบครู จัดเวลาเรียนให้นักเรียนคุยกันเรื่องการพูดในชั้นเรียน และวิธีพูดให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้สูงสุด ในขั้นดำเนินการครูชวนนักเรียนคุยว่าในช่วงเทอมนี้ (หรือปีนี้) จะหาทางส่งเสริมให้นักเรียนทุกคนได้พูดในชั้นเรียน อย่างเปิดใจและสบายใจได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนที่ขี้อาย หรือพูดไม่คล่อง รวมทั้งให้นักเรียนร่วมกันกำหนดกติกาการพูด
และฟังในชั้นเรียน และให้ช่วยกันสังเกตและหาทางช่วยกันปรับปรุง ตอนปลายวงรอบครูหรือครูพี่เลี้ยงบันทึกวีดิทัศน์อีกครั้งหนึ่ง เลือกนำเฉพาะบางตอนมาเปิดดูและร่วมกันทบทวนและตีความประเมินความก้าวหน้า และร่วมกันใช้ประสบการณ์ของวงรอบแรกนี้ในการกำหนดแนวทางดำเนินการให้เกิดการพูดที่ดีในชั้นเรียน และนำไปปรึกษากับนักเรียนเพื่อปรับปรุงกติกาการพูดในชั้นเรียนที่กำหนดไว้ตอนต้นวงรอบ โดยอาจช่วยกันจัดหมวดหมู่ตามในบันทึกที่ ๕ ครูร่วมกันทบทวนว่านักเรียนคนไหนบ้างที่ต้องการความช่วยเหลือด้านการพูดเป็นพิเศษ และจะช่วยเหลืออย่างไร 
 
วงรอบที่ ๒ พัฒนาการจัดชั้นเรียน
บท54.png
อ้างอิงสาระเชิงหลักการในบันทึกที่ ๖ ของบันทึกชุดสอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก นี้ เป้าหมายของวงรอบที่ ๒ คือ ทดลองจัดห้องเรียน และจัดกลุ่มนักเรียน เพื่อให้เอื้อต่อการเรียนด้วยสานเสวนา กิจกรรมของวงรอบเริ่มด้วยครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันอภิปรายว่า ในปัจจุบันพื้นที่ปฏิสัมพันธ์เพื่อการเรียนรู้แบบสอนเสวนา ๔ มิติ คือ (๑) ด้านปฏิสัมพันธ์ (relations) (๒) ด้านการจัดกลุ่ม (grouping) (๓) ด้านเทศะหรือพื้นที่ (space) (๔) ด้านกาละหรือเวลา (time) มีลักษณะเป็นอย่างไร และน่าจะปรับปรุงอย่างไรบ้าง เพื่อให้การพูดในห้องเรียนสะดวกขึ้น โดยอาจใช้วีดิทัศน์ที่ถ่ายช่วงหลังในวงรอบที่ ๑ เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา 

ในช่วงดำเนินการ/ ทดลอง ครูมีโอกาสทดลองได้สารพัดแบบ เช่น ทดลองจัดเฟอร์นิเจอร์ในห้องเสียใหม่ ให้สนองการจัดกลุ่มนักเรียนที่เปลี่ยนแปลงได้หลายแบบ (ทั้งชั้น กลุ่มย่อย และคนเดียว) อย่างรวดเร็ว ทดลองเปลี่ยนขนาดกลุ่มและองค์ประกอบของสมาชิกกลุ่ม เพื่อให้เหมาะต่อกิจกรรมในชั้นเรียน กระบวนการทดลองนี้อาจดำเนินต่อไปตลอดทั้งเทอมหรือทั้งปี 
 
รวบรวมข้อมูลโดยครูหรือครูพี่เลี้ยงถ่ายวีดิทัศน์กิจกรรมในห้องเรียนที่มีการทดลองเปลี่ยนแปลง ทีมครูและครูพี่เลี้ยงนำบันทึกวีดิทัศน์ครั้งที่สองของวงรอบที่ ๑ กับที่บันทึกในวงรอบนี้ ร่วมกันพิจารณาว่าเกิดผลกระทบอะไรบ้าง ควรปรับปรุงอย่างไร หรือในบางกรณีอาจควรย้อนกลับไปทำแบบเดิม 

วงรอบที่ ๓ พูดเพื่อเรียนรู้ 
บท54.png
อ้างอิงสาระเชิงหลักการในบันทึกที่ ๗, ๘, ๑๓ ของบันทึกชุดสอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก วงรอบนี้มีเป้าหมายสำรวจหาและขยายเพิ่มการพูดของนักเรียนในรูปแบบที่ครูอยากได้ยินที่จะช่วยยกระดับการคิด เริ่มจากการที่ครูเลือกบางตอน
จากวีดิทัศน์ในวงรอบที่ ๒ ที่แสดงการพูดของนักเรียนในรูปแบบต่างๆ นำมาร่วมกันแบ่งกลุ่มตามแนวทางในบันทึกที่ ๗ แล้วครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันตรวจสอบการแบ่งกลุ่มการพูด และหา (๑) ความถี่ของการพูดแต่ละแบบ (๒) รูปแบบการพูดที่สำคัญแต่ไม่มีในวีดิทัศน์แล้วร่วมกันวางแผนส่งเสริมให้เกิดการพูดแบบที่สำคัญนั้น โดยทบทวนบันทึกที่ ๘ ว่าการพูดของครูแบบไหนที่จะส่งเสริมให้นักเรียนเสวนากันแบบนั้น 

ครูดำเนินการสอนเพื่อกระตุ้นการพูดแบบที่กำหนดไว้ แล้วครูหรือครูพี่เลี้ยงถ่ายวีดิทัศน์ไว้ 

ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันเปรียบเทียบวีดิทัศน์ในวงรอบที่ ๒ และวีดิทัศน์ของวงรอบที่ ๓ ว่ามีการพูดตามแบบที่ต้องการเพิ่มขึ้นหรือไม่ อย่างไร และอภิปรายวิธีที่ครูจะใช้ส่งเสริมการพูดของนักเรียนในแนวที่ต้องการสำหรับใช้ในการสอนตอนต่อๆ ไป 
 
วงรอบที่ ๔ พูดเพื่อสอน
บท54.png
เป็นเสมือนภาพกลับหรือภาพในกระจกของวงรอบที่ ๓ โดยเสาะหาคำพูด และท่าทาง (อวัจนภาษา) ของครูที่เหมาะสมต่อเป้าหมายการเรียนรู้ของนักเรียน นำมาหาทางขยายต่อ เริ่มจากครูร่วมกันดูวีดิทัศน์ตอนท้ายของวงรอบที่ ๓ โดยดูตลอดทั้งคาบ เพื่อจัดกลุ่มการพูดเพื่อสอนที่เกิดขึ้น อ้างอิงหลักการตามในบันทึกที่ ๘ แล้วครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันตรวจสอบการจัดกลุ่มดังกล่าว โดยตรวจสอบ (๑) ความถี่ของการพูดแต่ละกลุ่มที่เกิดขึ้น (๒) ว่าการพูดแต่ละแบบเกิดขึ้นในช่วงการเรียนรู้ใด (๓) ว่ามีรูปแบบการพูดแบบใดที่สำคัญมากต่อการเรียนรู้ ของนักเรียน แต่ครูพูดน้อยหรือไม่ได้พูดเลย 

ตามด้วยครูกับครูพี่เลี้ยงร่วมกันวางแผนบทเรียนที่มุ่งใช้การพูดแบบที่เป็นเป้าหมาย โดยคำนึงถึงสาระในบันทึกที่ ๗ ว่าการพูดเพื่อสอนแบบใดที่จะนำไปสู่การพูดแนวที่ต้องการ 

หลังจากนั้นครูนำเอารูปแบบการพูดที่ต้องการไปทดลองใช้ในการสอนของตน 

กิจกรรมทบทวนใหญ่ตอนกลางเทอม
บท54.png
มี ๒ เป้าหมายคือ (๑) ร่วมกันทบทวนกิจกรรมด้านการจัดการโครงการ (๒) ร่วมกันทบทวนข้อเรียนรู้ อันได้แก่วิธีการที่นำไปสู่ความสำเร็จ ความรู้ที่งอกเงยขึ้น และประเด็นที่จะต้องมีการปรับปรุง

ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันตรวจสอบด้านการจัดการ ๒ ประเด็น และด้านการเรียนรู้ ๒ ประเด็น ได้แก่ (๑) บันทึกวีดิทัศน์ได้รับการจัดเก็บและติดป้ายชื่ออย่างถูกต้อง มีการทำดัชนีตอนที่สำคัญเอาไว้ใช้งานภายหลัง (๒) มีบันทึกข้อมูลการวางแผนและเป้าหมาย การตรวจสอบผล และข้อเสนอแนะให้ปรับปรุง ของวงรอบที่ ๑ - ๔ แต่ละวงรอบ และจัดเก็บไว้ในที่เก็บเอกสารของโครงการอย่างเป็นระบบ (๓) กำหนดวิธีปฏิบัติที่ดี ๑ - ๒ รายการ ในรูปของเรื่องเล่า หรือเป็นคลิปวีดิทัศน์ก็ได้ โดยอาจแนบปัญหาหรือคำถามเป็นข้อสังเกตด้วยก็ได้ (๔) ประเมินความก้าวหน้าและประเด็นที่จะต้องปรับปรุง โดยคำนึงถึงหลักการของการสอนแนวสานเสวนา 

ครูทุกคนและครูพี่เลี้ยงประชุมร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความสำเร็จ (โดยอาจเสนอคลิป) ทบทวนความก้าวหน้า และแนวทางแก้ปัญหาที่พบ เพื่อเตรียมดำเนินการวงรอบที่ ๕ - ๘ ต่อไป โดยที่ในวงรอบที่ ๕ - ๘ จะเป็นเรื่องของการพูดและการจัด
ห้องเรียนแบบที่จำเพาะ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนและการขับเคลื่อนในรูปแบบที่ต้องการ 

วงรอบที่ ๕ การตั้งคำถาม
บท54.png
เป็นวงรอบเพื่อตรวจสอบการตั้งคำถามของครูและนักเรียน และหาทางส่งเสริมทักษะนี้ โดยอ้างอิงสาระเชิงทฤษฎีในบันทึกที่ ๙ 

เริ่มจากครูเลือกตอนสำคัญ ๒ ตอนจากวีดิทัศน์ที่ถ่ายตอนท้ายของวงรอบที่ ๔ โดยตอนหนึ่งเป็นการถามโดยครู อีกตอนหนึ่งนักเรียนเป็นผู้ถาม ตามด้วยครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันจัดกลุ่มคำถามในทั้งสองตอน ว่าเป็นคำถามแบบไหน และขับเคลื่อน
การเสวนาอย่างไร ในส่วนของการถามโดยครู ตรวจสอบ (๑) การเว้นช่วงให้นักเรียนมีเวลาคิด (๒) สมดุลระหว่างการให้นักเรียนยกมือขอตอบ กับการที่ครูชี้ตัวคนตอบเอง (๓) สมดุลระหว่างคำถามปลายปิดกับคำถามปลายเปิด (๔) เป้าหมายต่างๆ ของการถาม ในส่วนของการถามโดยนักเรียน ตรวจสอบชนิดของคำถาม ตั้งข้อสังเกตว่า ทั้งในการถามโดยครูและโดยนักเรียน มีการถามคำถามแบบไหนบ่อยที่สุด 

ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกัน (๑) วางแผนบทเรียนที่กำหนดสัดส่วนของรูปแบบคำถามของครูไว้ล่วงหน้า (๒) มีบทฝึกหัดให้นักเรียนได้ระดมความคิดล่วงหน้า (และถ่ายวีดิทัศน์ไว้) ว่าในบทเรียนนั้นนักเรียนควรตั้งคำถามว่าอย่างไรบ้าง 

แล้วครูนำแผนดังกล่าวไปสอนตามแนวคำถามของนักเรียน โดยหากจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มย่อย ในตอนท้ายให้รวมนักเรียนทั้งชั้น เพื่อนำเอาคำถามที่นักเรียนระดมความคิดไว้ล่วงหน้ามาพิจารณา (เป็นคำถามที่ถูกต้องหรือไม่) และปรับปรุง และร่วมกันอภิปรายว่ามีความสำคัญอย่างไรที่นักเรียนจะต้องมีโอกาสตั้งคำถามด้วย 

ในตอนท้ายของวงรอบครูหรือครูพี่เลี้ยงถ่ายวีดิทัศน์ โดยให้มีตอนที่ครูถามคำถาม และตอนที่นักเรียนอภิปราย

ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันทบทวนความก้าวหน้าภายในวงรอบ ว่าครูและนักเรียนพัฒนาขึ้นอย่างไรบ้าง ในการตั้งคำถามตามที่ระบุในบันทึกที่ ๙ และจะมีช่องทางอย่างไรบ้างที่จะปรับปรุงขึ้นไปอีก หากยึดหลักการพูด ที่ดี ๖ ประการสำหรับการสอนแนวสานเสวนา ตามหัวข้อ หลักการ ในบันทึกที่ ๔ การตั้งคำถามของครูและนักเรียนมีความก้าวหน้าอย่างไรบ้าง 

วงรอบที่ ๖ ขยายความ
บท54.png
เป็นรอบที่เน้นการจับประเด็นคำพูดของนักเรียนมาดำเนินการต่อ ให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่มีการเสวนาเข้มข้น สร้าง “จังหวะที่สาม” ของ IRE/ IRF ที่ไม่ใช่จังหวะจอด แต่เป็นจังหวะเชื่อมโยง คือแทนที่จะ “ป้อนกลับ” กลายเป็น “ป้อนไปข้างหน้า” ประเด็นเชิงทฤษฎีอยู่ในบันทึกที่ ๑๐

เริ่มจากครูเลือกหนึ่งหรือหลายตอนในวีดิทัศน์ที่ถ่ายตอนท้ายของวงรอบที่ ๕ ที่นักเรียนตอบคำถามครู หรือพูดใน IRE/ IRF หรือนอก IRE/ IRF ก็ได้ คือนักเรียนพูดตั้งคำถามก็ได้ หาตอนที่นักเรียนพูดต่างๆ กัน เพื่อนำมาตรวจสอบ ขยายความ และดำเนินการต่อ 

ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันอภิปรายวงรอบที่ ๖ ในส่วนที่ครูจัดการคำตอบหรือคำพูดของนักเรียนว่ามีการขับเคลื่อนต่อน้อยตอนหรือมากตอน มีตอนไหนที่เป็นการเคลื่อนต่อแบบอัตโนมัติหรือเป็นนิสัย ไม่ใช่เกิดจากการคิดไตร่ตรอง แล้วร่วมกัน
เตรียมบทเรียนที่กระตุ้นการถาม และมีคำพูดขับเคลื่อนประเด็นหรือความคิด เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเสวนาต่อ 

ครูนำบทเรียนที่ร่วมกันเตรียมไปสอน เน้นให้เกิดการขยายความตามกรอบปฏิบัติที่ ๖ ในบันทึกที่ ๑๐ โดยนักเรียนแชร์ ขยาย และทำความชัดเจนต่อความคิดของตนเอง ฟังซึ่งกันและกันอย่างตั้งใจ ทำให้เหตุผลชัดเจนหรือลึกซึ้งขึ้น 
และคิดร่วมกันกับผู้อื่น ซึ่งหมายความว่าครูหาวิธีพูดเพื่อขับเคลื่อนให้นักเรียนฟัง พูด และคิด เมื่อนักเรียนตอบสนองก็มีการตรวจสอบ ท้าทาย และขยายต่อ ผ่านคำพูดและการสื่อสารเพื่อขับเคลื่อนต่อ 

ครูหรือครูพี่เลี้ยงถ่ายวีดิทัศน์ในช่วงท้ายของวงรอบที่ ๖ แล้วครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันประเมินความก้าวหน้าของครูในการพูดขยายการเคลื่อนตัวของการสานเสวนา สังเกตว่าการพูดเพื่อเคลื่อนตัวแบบไหนมากที่สุด แบบไหนน้อยที่สุด เมื่อมองจากการพูดสนองของนักเรียน การพูดแบบไหนเหมาะสมที่สุด แบบไหนก่อผลมากที่สุด สำรวจหากรณีที่มีการเสวนาอย่างลื่นไหลสู่การพูดของนักเรียนที่เชื่อมโยงขยายประเด็น สภาพนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร 

ร่วมกันหาคำตอบว่า ในตอนนี้การถามตรงตาม “หลักการพูดที่ดี ๖ ประการสำหรับการสอนแนวสานเสวนา” เพียงใด การพูดขยายความไม่เพียงนำไปสู่การแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น แต่มีการคิดเพิ่มขึ้นด้วยหรือไม่ แยกแยะระหว่างการขยายความเชื่อมโยงสาระวิชา กับการเชื่อมโยงความคิด 

วงรอบที่ ๗ การอภิปราย
บท54.png
วงรอบนี้เป็นการทำความเข้าใจคุณภาพของการอภิปรายในห้องเรียน และหาทางยกระดับคุณภาพ กรอบแนวทางปฏิบัติด้านการอภิปรายครอบคลุมทั้งการอภิปรายของนักเรียนและของครู ในด้านการจัดระบบ ตั้งคำถาม และขยายความ โดยต้องเอาใจใส่วัฒนธรรมและแนวปฏิบัติทั่วไปของการพูด ที่พัฒนาโดยวงรอบที่ ๑ เป็นต้นมา 

ประเด็นเชิงทฤษฎีอยู่ในบันทึกที่ ๑๑ การทบทวนและวางแผนเริ่มจากครูเลือก ๒ ช่วงในวีดิทัศน์ที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้ ช่วงหนึ่งเป็นการอภิปรายทั้งชั้นหรือในกลุ่มย่อยนำโดยครู อีกช่วงหนึ่งเป็นการประชุมกลุ่มย่อยนำโดยนักเรียน 

ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันอภิปรายบันทึกที่ ๑๑ (กรอบปฏิบัติที่ ๗) เน้นที่ข้อพึงปฏิบัติที่ตกลงกัน เช่น ผลัดกันพูด ให้เกียรติต่อการพูดและข้อคิดเห็นของผู้อื่น (กรอบฯ ที่ ๑) การจัดที่นั่งและจัดกลุ่มนักเรียน (กรอบฯ ที่ ๒) รวมทั้งทบทวนรูปแบบการพูดและการขับเคลื่อนการเสวนา (กรอบฯ ที่ ๓ - ๖) รวมทั้งเอาใจใส่ปัญหาการแสดงความเห็นเชิงสิทธิทางสังคมและตัวตนของนักเรียน (student voice) หากกิจกรรมในวงรอบก่อนๆ ได้ผลดี จะเห็นสภาพที่นักเรียนรับฟังซึ่งกันและกัน และสนับสนุนกันให้หาคำพูดมาแสดงออกความคิดของตน รวมทั้งนักเรียนและครูมีการถามคำถาม (วงรอบที่ ๕) และดำเนินการพูดขยายความ (วงรอบที่ ๖) 

ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันทบทวนวีดิทัศน์ ๒ ช่วงที่เลือกไว้ และประเมินว่ามีความก้าวหน้าตามกรอบแนวปฏิบัติที่ ๗ เพียงไร และร่วมกันวางแผนพัฒนาการจัดการเรียนต่อเนื่องจากวงรอบที่ ๕ และ ๖ เพื่อยกระดับคุณภาพของการถาม
เพื่อขับเคลื่อนสู่การขยายความ ที่สำคัญคือ เน้นให้ครูมีความสามารถเปลี่ยนแนวการเสวนาจากปฏิสัมพันธ์ครู-นักเรียน ไปเป็นนักเรียน-นักเรียน ในการประเมินวีดิทัศน์ที่นักเรียนเป็นผู้นำการอภิปราย ให้ประเมินตามเงื่อนไขสำหรับการอภิปรายที่นักเรียนเป็นผู้ดำเนินการ ในบันทึกที่ ๑๑ แล้ววางแผนบทเรียนที่ (๑) ครูดูแลให้เกิดการอภิปรายของนักเรียนทั้งชั้นอย่างมีคุณภาพสูง (๒) มีช่วงที่มีการอภิปรายกลุ่มย่อยที่นักเรียนเป็นผู้นำการอภิปราย 

ครูนำแผนที่วางไว้ไปดำเนินการสอน

ครูหรือครูพี่เลี้ยงถ่ายวีดิทัศน์ของการอภิปรายทั้งชั้น และของการอภิปรายกลุ่ม ในการถ่ายวีดิทัศน์ของการอภิปรายกลุ่ม แนะนำให้วางเครื่องบันทึกเสียงไว้กลางวงเพื่อจะบันทึกเสียงนักเรียนชัดเจน วางกล้องวีดิทัศน์บนสามขาไว้ห่างๆ เพื่อบันทึกท่าทางของสมาชิกกลุ่ม เอาไว้ดูอวัจนภาษา บันทึกการอภิปรายกลุ่มของกลุ่มอื่นไว้เปรียบเทียบด้วย 

ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันประเมินความก้าวหน้าของการอภิปรายตามหลักการ เปรียบเทียบคุณภาพของการอภิปรายกลุ่มย่อย ตรงไหนทำได้ดี ตรงไหนทำได้ไม่ดี ในส่วนที่ทำได้ไม่ดีสาเหตุมาจากอะไร เกิดจากครูวางแผนไม่ดี หรือมาจากปฏิสัมพันธ์กลุ่มของนักเรียนเอง หรือทั้งสองปัจจัย หรือจากปัจจัยอื่น 

ประเมินว่าการอภิปรายก้าวหน้าไปแค่ไหนตามหลักการพูดในห้องเรียน ๖ แบบ ในบันทึกที่ ๔ คือ (๑) สะท้อนความเป็นทีมเดียวกัน (๒) สะท้อนความเกื้อหนุน (๓) ต่างตอบแทน (๔) อภิปรายตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกัน (๕) สั่งสม (๖) มีเป้าหมาย มีการพูดระดับ ๔ - ๖ หรือไม่

ครูและนักเรียนร่วมกันดูวีดิทัศน์ของการประชุมกลุ่มที่นักเรียนเป็นผู้นำการอภิปราย ให้นักเรียนช่วยกันบอกว่ามีตรงไหนบ้างที่ควรปรับปรุง 

วงรอบที่ ๘ การโต้แย้ง
บท54.png
ประเด็นเชิงทฤษฎีอยู่ในบันทึกที่ ๑๒ วงรอบนี้เป็นการฝึกการพูดของนักเรียนก้าวหน้าไปจากตอนก่อนๆ อีกขั้นหนึ่งคือ ไปสู่การโต้แย้งกัน 

ครูดูวีดิทัศน์จากวงรอบที่ ๗ หรือวงรอบก่อนหน้านั้น เลือกตอนที่นักเรียนอภิปรายกันแบบตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกัน (deliberative) หรือนักเรียนเสนอข้อคิดเห็นและปกป้องข้อเสนอนั้น เก็บไว้ใช้

ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันอภิปรายบันทึกที่ ๑๒ ร่วมกันทำความเข้าใจว่าการสอนการโต้แย้งเป็นการสร้างพลวัตในห้องเรียนแบบจำเพาะ การอภิปรายแบบจำเพาะ ไปพร้อมๆ กันกับฝึกนักเรียนให้คิดในรูปแบบที่จำเพาะ โดยพึงตระหนักว่า วงรอบนี้
ไปไกลกว่าการโต้แย้งกันทางวาจา คือนักเรียนจะได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติของการโต้แย้ง ในทางทฤษฎีจะได้เรียนรู้หลักการและความหมายของการโต้แย้ง 

ครูสร้างรูปแบบกระบวนการในชั้นเรียน ให้นักเรียนคุ้นกับ “วัฒนธรรมโต้แย้ง” โดยไม่ต้องเอ่ยคำว่าโต้แย้งก็ได้ คือให้นักเรียนคุ้นเคยกับการใช้จนเคยชิน กระบวนการนั้นคือ การตั้งคำถาม (questioning) ตามด้วยการขยายความ (extension) และการอภิปราย (discussion) แต่ในนักเรียนชั้นโต ควรให้เข้าใจทฤษฎีและศัพท์ของการโต้แย้ง ๖ ระดับคือ (๑) ยื่นข้อเสนอ (๒) เสนอตัวอย่าง (๓) เล่าเรื่องราวสู่ข้อสรุปพร้อมเหตุผล (๔) โต้วาทีระหว่างสองฝ่ายที่มองประเด็นต่างกัน (๕) โต้แย้ง (dispute) (๖) ทะเลาะ (quarrel) ตามในบันทึกที่ ๒ 

ควรวางแผนการสอนโดยใช้การโต้แย้งในทุกรายวิชาหรือโมดุลในหลักสูตร โดยคิดไว้ล่วงหน้าว่าจะใช้อะไรเป็นตัวจุดชนวนการโต้แย้ง ใช้เอกสาร/ หนังสือ โจทย์ของครู หรือกิจกรรมภาคปฏิบัติ 

ครูสอนบทเรียนตามแนวทางข้างบน โดยสอดใส่ขั้นตอนของการโต้แย้งอย่างเหมาะสม ตามในบันทึกที่ ๑๒ เช่น ขั้นเปิดฉาก - ขั้นโต้แย้ง - ขั้นปิดฉาก ยื่นข้อเสนอ - ให้เหตุผล - ให้ข้อมูลหลักฐาน - พูดท้าทายข้อมูลหลักฐาน - พูดโต้คำท้าทาย 

ครูหรือครูพี่เลี้ยงบันทึกวีดิทัศน์อย่างน้อย ๒ บทเรียนที่แตกต่างกันในเนื้อหา หรือเป้าหมายการเรียนรู้ (attitude, skills, knowledge) 

ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันดูบางตอนในวีดิทัศน์จากการถ่ายทำ ๓ ครั้ง ในวงรอบที่ ๗ และ ๘ เพื่อดูความก้าวหน้าของการพูดโต้แย้งตามหลักการในบันทึกที่ ๑๒ และตามเป้าหมายการเรียนรู้ในหลักสูตร 

ครูและนักเรียนร่วมกันดูคลิปวีดิทัศน์และอภิปรายกันเพื่อเรียนรู้การพูดโต้แย้ง 

ในการร่วมกันสะท้อนคิดทั้งในระหว่างครูกับครูพี่เลี้ยง และระหว่างครูกับนักเรียน พึงเอาใจใส่ทั้งกระบวนการและสาระของการโต้แย้ง เกิดการพัฒนาทั้งด้านการพูดและด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ที่จะมีส่วนทำให้การโต้แย้งก่อผลลัพธ์สูงหรือไม่ 

กระบวนการโต้แย้งพัฒนาขึ้นหรือไม่ นักเรียนและครูคล่องขึ้นในการเริ่มประเด็น ตรวจสอบคำถามที่ซับซ้อน และตรวจสอบข้อมูลหลักฐานในหลากหลายรูปแบบเก่งขึ้นหรือไม่ 
 
กิจกรรมทบทวนใหญ่ตอนสิ้นเทอม
บท54.png
ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันตรวจสอบว่า (๑) บันทึกวีดิทัศน์ได้รับการจัดเก็บและติดป้ายชื่ออย่างถูกต้อง มีการทำดัชนีตอนที่สำคัญเอาไว้ใช้งานภายหลัง (๒) มีบันทึกข้อมูลการวางแผนและเป้าหมาย การตรวจสอบผล และข้อเสนอแนะให้ปรับปรุง ของวงรอบที่ ๑ - ๘ แต่ละวงรอบ และจัดเก็บไว้ในที่เก็บเอกสารของโครงการอย่างเป็นระบบ (๓) กำหนดวิธีปฏิบัติที่ดี ๑ - ๒ รายการ ในรูปของเรื่องเล่า หรือเป็นคลิปวีดิทัศน์ หรือคลิปเสียงก็ได้ โดยอาจแนบปัญหาหรือคำถามเป็นข้อสังเกตด้วยก็ได้ 

ในช่วงการทบทวนนี้ ให้เอาใจใส่การพูดเชิงแสดงตัวตนหรือเชิงสังคม (voice) ความเท่าเทียม (equity) และการยอมรับซึ่งกันและกัน (inclusion) ของนักเรียน ตรวจสอบว่านักเรียนคนไหนพูดมากที่สุดและน้อยที่สุด เพราะอะไร นักเรียนจากครอบครัวที่ภาษาที่โรงเรียนกับภาษาที่บ้านไม่เหมือนกัน หรือนักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษด้านการเรียนรู้ หรือนักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษด้านภาษาและการพูด มีพัฒนาการด้านการพูดในห้องเรียนอย่างไร ความก้าวหน้าด้านการพูดในห้องเรียนมีความแตกต่างด้านเพศ และด้านเศรษฐฐานะของนักเรียนหรือไม่ 

ครูทุกคนและครูพี่เลี้ยงประชุมพร้อมกันเพื่อแลกเปลี่ยนความสำเร็จ โดยอาจเสนอคลิปประกอบ ร่วมกันทบทวนความสำเร็จและความก้าวหน้า รวมทั้งปัญหาและแนวทางแก้ปัญหา รวมทั้งช่วยกันคิดว่าทำอย่างไร จึงจะทำให้การสอนแนวสานเสวนาจะกลายเป็นแนวปฏิบัติในชั้นเรียนทั่วไป รวมทั้งในการคิดในชีวิตประจำวัน ทำอย่างไรนักเรียนจึงจะพัฒนาตนเองได้ต่อเนื่องในเรื่องการพูดเพื่อเรียนรู้ แสดงเหตุผล และทำให้ชีวิตดีขึ้น

เป้าหมายสุดท้ายคือห้องเรียนที่การพูดมีลักษณะเป็นธรรม เท่าเทียม และให้ผลดีต่อการเรียนรู้

จะเห็นว่ากิจกรรมที่เสนอนี้ เน้นเฉพาะที่การพูด หรือการจัดชั้นเรียนแบบสานเสวนา หากโรงเรียนใดนำไปประยุกต์โดยให้เป็นกิจกรรมผสม นำเอาเรื่องการเรียนรู้สาระวิชาเข้ามาบูรณาการด้วย ก็น่าจะเกิดความรู้ความเข้าใจวิธีเรียนสาระวิชาผ่านการสอนแนวสานเสวนา สามารถทำวิจัยโดยตั้งโจทย์ได้หลากหลายมาก 

ขอย้ำว่าครูและโรงเรียนไทยที่นำแนวทางในบันทึกชุดนี้ไปใช้ สามารถปรับใช้ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ไม่จำเป็นต้องมี ๘ วงรอบ จะมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ และเป้าหมายของแต่ละวงรอบก็สามารถปรับตามสภาพของนักเรียน และกระบวนการเหล่านี้ตั้งโจทย์วิจัยชั้นเรียนได้เป็นร้อยเป็นพันโจทย์

บท24.png

จากเวทีสานเสวนาเพื่อพัฒนาครู สู่แผนการจัดการเรียนรู้ในหน่วยวิจัยพาเพลิน 

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มจากในช่วงสัปดาห์ที่ ๕ ของภาคเรียนวิริยะ คุณครูหนึ่ง - ศรัณธร แก้วคูณ หัวหน้า ช่วงชั้นที่ ๑ โรงเรียนเพลินพัฒนา และคุณครูสุ - สุภาพร กฤตยากรนุพงศ์ หัวหน้าพัฒนาหน่วยวิชาคณิตศาสตร์ ได้ชวนคุณครูโอ่ง - นฤนาท สนลอย ผู้ช่วยหัวหน้าช่วงชั้นที่ ๑ เข้าร่วมเวทีสานเสวนาเพื่อการพัฒนาครู ครั้งที่ ๑ ในวันพฤหัสบดีที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๔ 

๑๕.๑.png

กิจกรรมที่จัดขึ้นในครั้งนั้นทำให้ครูโอ่งได้เรียนรู้การจัดการเรียนการสอนของครูในหลายโรงเรียนที่น่าสนใจ ทั้งจากห้องของคุณครูกานต์ - บัวสวรรค์ บุญมาวงษา ในระดับชั้นประถมปีที่ ๔ โรงเรียนเพลินพัฒนา ที่นำเสนอเป็นรายการแรกด้วยคลิปวีดิทัศน์ของแผน “สวนสัตว์อักษร ๓ หมู่” ที่ทำให้เห็นภาพห้องเรียนที่มีบรรยากาศที่ดี ในการเรียนรู้ ทั้งครูและนักเรียนมีความสุขและความผ่อนคลายพร้อมเรียนรู้ ซึ่งผู้ทรงคุณวุฒิในเวที คือ คุณครูปาด - ศีลวัต ศุษิลวรณ์ ได้ชี้ให้เห็นจุดที่ดีของห้องเรียนนี้คือ การสร้างให้เด็กเกาะติดกับการเรียนรู้ และเห็นวิธีการใช้คำถามที่เป็นลักษณะของคำถามประเภท what ที่จะนำพาไปสู่คำถามประเภท why หรือ why not ได้ในโอกาสต่อไป 

ลำดับถัดมาเป็นห้องเรียนของครูกิ๊ฟ - จิตตินันท์ มากผล ที่นำเสนอคลิปวีดิทัศน์ของแผน “ลายไทย ลายน้ำ” ในระดับชั้นประถมปีที่ ๒ โรงเรียนเพลินพัฒนา ที่จุดเด่นยังอยู่ที่บรรยากาศของห้องเรียนที่ผ่อนคลายเช่นเดิม ส่วนตัวครูผู้สอนนั้นมีลักษณะท่าทีของครูที่สอนเด็กในระดับประถมต้น ครูมีการพูดสะท้อนเพื่อทบทวนความคิดของนักเรียนเพื่อนำไปสู่การเปิดความคิดของนักเรียนในประเด็นของคุณค่า ความดี ความงามหรือประสบการณ์ในชีวิตของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคุณครูปาดก็ได้ให้ประเด็นคิดต่อยอดที่น่าสนใจคือ การขับเคลื่อนห้องเรียนด้วยการสนทนาหรือ dialogue นี้เมื่อเด็กเกิด
การเกาะติดกับการเรียนรู้แล้ว บทบาทของครูในฐานะของผู้พูดเพื่อสอนจะน้อยลงไปได้อย่างไร รวมถึงพาเชื่อมโยงกับหลักการในหนังสือ ในเรื่องของการ feed forward คือการขยายความในเรื่องที่พูดนั้นออกไปสู่การอภิปรายอย่างกว้างขวางอีกด้วย

ห้องเรียนต่อไปคือห้องเรียนของนักเรียน ระดับชั้นประถมปีที่ ๕ โรงเรียนเพลินพัฒนา ของคุณครูกิ๊ก - นินฤนาท นาคบุญช่วย ในแผนการเรียนรู้ “ขาว ข่าว ข้าว” ซึ่งเป็นการเรียนรู้จากข่าวปลาแลกข้าวสาร ที่จัดให้กับเด็กในวัยที่เริ่มมีความคิดเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น เชี่อมโยงได้มากขึ้น และเป็นแผนที่มีการสร้างคำถามที่ดีเพื่อสร้างการเรียนรู้ให้กับนักเรียนให้คิดได้ทั้งลึกและกว้างมากขึ้น ผู้ทรงคุณวุฒิ คือ คุณสมพล ชัยศิริโรจน์ ได้กล่าวถึงคุณภาพของการสนทนาของชั้นเรียนนี้ว่าสามารถดึงให้คนที่ชมวีดิทัศน์รู้สึกเหมือนได้เข้าไปนั่งสนทนาอยู่ในห้องเดียวกันได้ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงภาวะภายในของครูที่มีความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นในความรู้สึกนึกคิดของเด็ก ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณสมพลคิดว่าเป็นการสนทนาที่จริง (real) จนเหนี่ยวนำให้คนที่นั่งสังเกตอยู่อยากที่จะฟังและอยากที่จะตอบคำถามที่ครูถามเด็กๆ ในชั้นเรียน และจุดนี้เองที่ความอยากรู้อยากเห็นของครูจะเป็นพลังให้กับการเรียนรู้ของเด็กได้ และท่านอาจารย์วิจารณ์ พานิช ก็ได้เสริมว่าบรรยากาศในการสนทนาที่มีพลังจะมีลักษณะของความจริงใจและปลอดภัยที่จะอยู่ในความต่างได้ ซึ่งวงสุนทรียสนทนาที่มีความรู้สึกถึงความจริงใจนี้ ทำให้ วงสุนทรียสนทนามีพลัง 

ห้องเรียนถัดไปคือห้องเรียนโครงงาน “ภูมิธรรม ภูมิไทย รามเกียรติ์” ของคุณครูกลอย - เกศรัตน์ มาศรี โรงเรียนรุ่งอรุณ ห้องเรียนนี้เป็นห้องเรียนของนักเรียนชั้นประถมปีที่ ๖ ที่มีบรรยากาศแตกต่างออกไปจากห้องเรียน ๓ ห้องแรก ที่คุณสมพลตั้งข้อสังเกตว่าห้องเรียนนี้เป็นห้องเรียนที่ครูมีเป้าหมายในการก่อให้เกิดผลผลิตของงาน และเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้นักเรียนได้ทำงานอย่างมีประสิทธิผล ที่ทางทีมมูลนิธิสยามกัมมาจลนำไปต่อยอดว่าครูจะทำการสอนเสวนาในลักษณะไหน จึงจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถอยู่กับการเรียนรู้และการทำงาน ในขณะเดียวกันก็เกิดความรู้สึกที่ผ่อนคลายไปด้วย”

ห้องเรียนสุดท้ายของเวทีสานเสวนา ครั้งที่ ๑ คือ ห้องเรียนภาษาไทยในหน่วย “กาพย์ยานีพาเพลิน” ของคุณครูแนนนี่ - กนกวรรณ แหวนเพ็ชร์ โรงเรียนบ้านปลาดาว ที่ครูแนนนี่ได้สะท้อนภาพให้เห็นว่า นักเรียนเริ่มมีพัฒนาการในการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันมากขึ้นหลังจากที่ครูนำการสอนเสวนาเข้ามาในชั้นเรียน และเนื่องจากเป็นเด็กในกลุ่มชาติพันธุ์จึงทำให้ห่างไกลจากเรื่องของการแต่งกาพย์ยานี ผู้ทรงคุณวุฒิได้เสนอจุดเน้นของการทำแผนภาษาไทยให้ครูแนนนี่ ทั้งเรื่องของการใช้เสียงเพื่อเรียนเรื่องกาพย์กลอนจากท่วงทำนองเพลงชาติพันธุ์แต่ละกลุ่ม เรียนรู้ท่วงทำนองเพลงของคนในแต่ละพื้นที่ รวมถึงการสร้างแผนการเรียนรู้ที่มีการเชื่อมโยงอย่างเป็นลำดับเพื่อเป็น scaffolding ให้กับนักเรียนในการเรียนรู้ 

จากการได้เข้าร่วมชมคลิปการสอนและรับฟังการสะท้อนของผู้ทรงคุณวุฒิในวันนั้น ทำให้ครูโอ่งตั้งข้อสังเกตกับตัวเองว่า ปัจจุบันในการจัดการเรียนการสอนเราก็ใช้กระบวนการตั้งคำถามเป็นหลักในการขับเคลื่อน การเรียนรู้ใช้กระบวนการสุนทรียสนทนา รวมถึงเลือกสื่อ กิจกรรม ตั้งโจทย์ในห้องเรียนเพื่อให้เกิดการเรียนเชิงรุก (active learning) อยู่แล้ว แล้วสิ่งที่เราสอนนั้นเหมือนหรือแตกต่างจากการสอนเสวนาในบันทึกของอาจารย์อย่างไร คำถามนี้จึงเป็นคำถามจุดประกายในวันเริ่มต้น ทำให้สนใจอยากอ่านบันทึกของอาจารย์เพื่อที่จะตอบตัวเองให้ได้ว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้เหมือนหรือแตกต่างกับสิ่งที่บอกไว้ในบันทึกอย่างไร

นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ครูโอ่งได้อ่านและเลือกสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นประเด็นในการเรียนรู้เพิ่มให้กับการสร้างแผนการสอนในหน่วยวิชาที่ดูแลอยู่คือ หน่วยวิชาโครงงานวิจัยประจำภาคเรียน เมื่อศึกษาความรู้ในหนังสือแล้วมีหลายประเด็นที่น่าสนใจและ
พอที่จะตอบข้อสงสัยได้บ้าง คือ แนวทางในหนังสือจะทำให้การออกแบบคำถามในแผนการสอนรวมถึงการสนทนาในห้องเรียนของนักเรียนกับครู หรือระหว่างนักเรียนกับนักเรียนให้มีเป้าหมายที่คมชัดมากขึ้น 

ดังนั้น ประเด็นที่เลือกจะชวนครูน้องๆ ในหน่วยวิชาโครงการประจำภาคเรียนศึกษาและทดลองนำไปทำจะเป็นประเด็นของ

๑. การตั้งหมุดหมายในการขับเคลื่อนของความรู้อย่างเป็นลำดับ เพื่อเป็นการสร้าง scaffolding ของการสร้างสมรรถนะวิจัยให้กับนักเรียน

๒. จังหวะที่สามที่เป็นการปรับกระบวนการ IRF (Initiation - Response - Feedback) โดยเปลี่ยนตัว F จาก feedback เป็น feed forward

๓. เป้าหมายของการตั้งคำถามเพื่อให้ครูกำหนดทิศทางของคำถามที่จะใช้ในแผนการสอน โดยมีหลักการสำคัญที่จะเลือกไปใช้คือ คำพูดใน “จังหวะที่สาม” นี้ อาจมีลักษณะต่างกันได้ ๒ แบบ คือ (๑) เป็นถ้อยคำเชิงเอื้อให้เกิดการคิดต่อเนื่อง สู่การทำความเข้าใจวิธีคิดและวิธีเรียนของตนเอง (facilitative feedback) (๒) เป็นถ้อยคำที่บอกว่าคำตอบถูกหรือไม่ และควรทำอะไรต่อไป (directive feedback)

๑๕.๒.png
เมื่อเลือกประเด็นได้แล้ว ครูโอ่งจึงทดลองทำตารางขอบเขตในการสอนเพื่อจะกำหนดเป้าหมายในการเรียนรู้โครงงานวิจัยประจำภาคเรียนตั้งแต่ สัปดาห์ที่ ๗ - ๙ เพื่อเตรียมไว้เป็นโครงสร้างเพื่อสร้างแผนการสอนร่วมกับคุณครูในทีมบูรณาการระดับชั้นประถม
ปีที่ ๒ ดังนี้

การทำงานในแต่ละสัปดาห์ของระดับชั้นประถมปีที่ ๒
บท54.png
เป้าหมายของชิ้นงานในวันชื่นใจ ………………………………………………………….

๑๕_11.png

ในวันอังคารที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๔ เป็นวันนัดหมายการสร้างแผนวิจัยของทีม ครูโอ่งได้เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ที่ได้รับจากการเข้าร่วมเวทีสานเสวนาเพื่อพัฒนาครู ให้คุณครูบูรณาการระดับชั้นประถมปีที่ ๒ ฟัง และได้แลกเปลี่ยนความรู้จากบันทึกให้คุณครูฟัง แล้วชวนให้ทุกคนร่วมกันทำงานตามแนวทางนี้ รวมถึงให้เอกสารไปอ่านเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเพื่อหาประเด็นที่สนใจเพิ่มเติม จากนั้นจึงได้กำหนดเป้าหมายในการเรียนรู้ในช่วงท้ายของการเรียนวิจัยดังนี้

การทำงานในแต่ละสัปดาห์ของระดับชั้นประถมปีที่ ๒
บท54.png
เป้าหมายของชิ้นงานในวันชื่นใจ รูปแบบการนำเสนอ... สร้างสรรค์ชิ้นงานวิจัยในรูปแบบโปสเตอร์

๑๕_12.png

๑๕_13.png

๑๕_14.png

ในการทำงานมีการชวนทีมตั้งเป้าหมายหลักแต่ละครั้งแล้วทีมจะไปหาสื่อ เครื่องมือ โจทย์และสร้างคำถามที่เหมาะสมเพื่อดำเนินการทำแผนละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ให้สอดคล้องกับเป้าหมายโดยในช่วงนี้จะให้ทีมได้ทำงานด้วยตนเอง จากนั้นจึงเข้าสังเกตการสอนของครูในห้องเรียน ๒/๒ ผ่านระบบ zoom ซึ่งจากการเข้าสังเกตการสอนในห้องเรียน พบว่าในช่วงแผนแรกๆ คือ แผนที่ ๑ และ ๒ ยังคงใช้คำถามที่เตรียมมาได้ตรงเป็นส่วนใหญ่ แต่นับตั้งแต่แผนที่ ๓ เป็นต้นไปเริ่มที่จะปรับไปใช้คำถามที่แตกต่างไปจากคำถามเดิมที่ตั้งไว้ในแผนการสอนเดิม ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เป็นเพราะ

๑. ช่วงสัปดาห์ที่ ๘ เป็นช่วงที่ต้องสร้างแผนการสอนมากถึง ๖ แผน และสัปดาห์ที่ ๙ สร้างแผนการสอนใหม่ถึง ๗ แผน ทำให้ทีมต้องใช้เวลาปรึกษาและเขียนแผนนอกเหนือจากเวลาที่โค้ชจัดไว้ จึงไม่ได้สร้างแผนการสอนร่วมกับโค้ช
และครูค่อนข้างรีบในการหาและสร้างสื่อ เขียนแผน รวมถึงการสร้างคำถามที่สอดคล้องกับหลักคิดที่ร่วมกันกำหนดไว้

๒. โค้ชยังไม่ได้เข้าไปช่วยทีมในการทำแผนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากยังไม่สามารถจัดการเวลาให้สอดคล้องกับงานที่มีได้

๓. หลังจากโค้ชเข้าสังเกตการสอนแล้วยังไม่ได้เข้าคุยแก้ไขกับครูทันที เนื่องจากคุณครูต้องใช้เวลาสร้างแผนใหม่ให้ทันต่อการใช้งานในสัปดาห์นั้น รวมถึงต้องใช้เวลาในการช่วยเหลือนักเรียนนอกเวลาด้วย

หลังจากนั้นในสัปดาห์ที่ ๙ โค้ชนำคลิปการสอนของคุณครูน้ำข้าว - วรันธรา ตันเจริญ มาให้เพื่อนครูคือ  คุณครูเน - พนิตา พินภิรมย์  และคุณครูปอ - นารีรัตน์ ทองดา  ได้ศึกษาร่วมกันโดยละเอียด รวมถึงยังได้แลกเปลี่ยนกับทีมครูบูรณาการเพื่อสะท้อนประสบการณ์ในการใช้แนวทางการตั้งคำถามที่ได้ทำโครงสร้างร่วมกันไว้ ทำให้สังเกตเห็นของแผนการสอนและภาพของห้องเรียนได้ดังนี้ 

การสร้างแผนการสอน
บท52.png
๑. การตั้งคำถามยังตั้งคำถามที่สอดคล้องกับสื่อและกิจกรรมของแผน ในการคาดการณ์คำตอบ ยังไม่ได้ยึดในหลักของ feed forward

๒. การตั้งคำถามในแผนจะเน้นให้เด็กได้สนทนากับเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของแผน คือ ได้เข้าใจถึงความรู้ชุดหนึ่งที่ครูต้องการจะป้อนข้อมูลให้ เช่น เข้าใจความหมายของคำว่า เหตุ-ผล เข้าใจความหมายของการตั้งสมมติฐาน เข้าใจการออกแบบการวิจัยจากตัวอย่างที่ครูนำมาให้นักเรียนเรียนรู้และทดลองทำความเข้าใจร่วมกัน จะไม่ได้นำเอาตัวงานจริงของนักเรียนมาเป็นสื่อในการให้นักเรียนสนทนาร่วมกัน
ห้องเรียน
บท52.png
๑. นักเรียนมีการแลกเปลี่ยนกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ยังไม่สามารถจัดให้มีการสนทนาได้อย่างทั่วถึง ในการสนทนา เมื่อนักเรียนแลกเปลี่ยนความรู้นอกเหนือไปจากประเด็นที่ได้ออกแบบไว้ในแผนการสอน ครูยังไม่ได้นำพาเด็กไปเรียนรู้ในประเด็นเพิ่มเติมที่เกิดขึ้นจากความสนใจของผู้เรียน 

เมื่อครูสอนครบจนถึงสัปดาห์ที่ ๙ แล้ว จึงได้จัดวงพูดคุยให้สมาชิกมีมาแลกเปลี่ยนกันว่าครูเห็นความสำเร็จ ในเรื่องใดจากการสอนแนวสานเสวนา ซึ่งครูได้สะท้อนการเรียนรู้ ดังนี้

๑. เด็กที่เกิดประโยชน์คือเด็กที่ชอบแลกเปลี่ยน ส่วนเด็กที่ชอบลงมือทำยังไม่มีส่วนร่วมมากนัก 

๒. เกิดผลดีกับการโค้ชของครูกับเด็กในวงเล็กในช่วงของการเรียนรู้ด้วยตนเอง 

๓. ชุดคำถามที่ครูเตรียมไว้ยังไม่เหมาะสมกับเด็กทุกคน 

๔. เนื้อหาความรู้ที่อยู่ในงานวิจัย ต้องใช้ประสบการณ์ของเด็ก คนที่ไม่มีประสบการณ์จะยังไม่ค่อยแลกเปลี่ยนกับเพื่อน 

ข้อจำกัดของการทำแผนวิจัยที่ผ่านมา
บท52.png

๑. การทำแผนยังไม่ได้เป็นการไปสนทนาที่ตัวก้อนความรู้หรืองานวิจัยของเด็กแต่เป็นการชวนกันเสวนาไปที่ชุดความรู้ที่ครูต้องการให้ข้อมูล

๒. ข้อจำกัดเรื่องเวลาการสอนที่มีเพียง ๓๐ นาที ที่ครูต้องนำพาให้นักเรียนเข้าใจหลักการความรู้ที่ครูจะต้องให้ข้อมูล ทำให้ไม่ได้พานักเรียนไปสนทนาต่อเนื่องในประเด็นที่เด็กสนใจ หรือตั้งข้อสังเกตต่อเนื่องในแผน เช่น แผนไข่จม ไข่ลอย

๓. ข้อจำกัดส่วนหนึ่งเกิดจากตัวครู เช่น เมื่อเด็กสนทนากันจนเข้าสู่เป้าหมายของตัวความรู้ในครั้งนั้นๆ แล้ว ครูจะไม่ได้ไปต่อในประเด็นที่เด็กสนใจให้ลึกขึ้น 

ประเด็นที่จะนำไปพัฒนาต่อ
บท52.png

๑. นำหลักของ ๔ คำถามสำหรับครู (จากบันทึกบทที่ ๒ พูดหลากชนิด) มาเป็นแนวทางในการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้

(๑) มีวิธีใดบ้างที่จะส่งเสริมให้นักเรียนทุกคนพูดเสนอความเข้าใจหรือข้อคิดเห็นของตนออกมา 
(๒) ครูทำอย่างไรเพื่อให้นักเรียนเห็นว่าทุกข้อคิดเห็นได้รับการรับฟังและยอมรับ
(๓) เมื่อนักเรียนพูด ครูได้ยินเสียงของใคร (ของตัวนักเรียนเอง หรือไปจำคำพูดมาจากที่อื่น) 
(๔) หากคำพูดของนักเรียนแหวกแนวไปจากแผนการสอนหรือความคาดหวังของครูจะทำอย่างไร

๒. สร้างเป้าหมายของแผนและตั้งแนวคำถามก่อนจึงค้นหาสื่อที่เหมาะสมกับคำถามนั้น

๓. เพิ่มการสนทนาในเรื่องที่นักเรียนให้ความสนใจมากขึ้น

๔. สร้างแผนและคำถามย่อยเพื่อใช้ในการโค้ชกลุ่มย่อยกับนักเรียน

15-1.png

15-2.png
15-3.png
แก้_๑๕.๑.png
แก้_๑๕.๒.png
15-6.jpg
15-7.jpg

แก้_๑๕.๓.png
ดาวน์โหลดเอกสาร
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ วิจารณ์ พานิช
นักเขียน
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ วิจารณ์ พานิช
รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล นายแพทย์ผู้สนใจประเด็นการศึกษา เจ้าของผลงานหนังสือเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้หลากหลายเล่ม ตั้งแต่ เลี้ยงลูกยิ่งใหญ่, วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21, สนุกกับการเรียนในศตวรรษที่ 21 ฯลฯ
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
profile
กรุณา Login ก่อน comment
เนื้อหาทั้งหมด