Banner_อยู่ให้เป็นสุข-01

องค์ความรู้

PBL

อยู่ให้เป็นสุข ด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

อ่าน 51 นาที

การเห็นลูกศิษย์ของตัวเองที่อยู่ในช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่ออยู่กับโลกออนไลน์มากเกินไป กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ ‘ครูเอ๋’ ปัญชลีย์ ฉัตรอริยวิชญ์ ได้ออกแบบวางแผนหน่วยการเรียนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐานในการจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาจัดกระบวนการ และนำกิจกรรมงานฝีมือ งานศิลปะ มาจัดกิจกรรมเพื่อช่วยให้นักเรียนนำศักยภาพที่ตนเองมีอยู่แสดงออกมา ซึ่งความยากคือการเปลี่ยนโจทย์ของครูให้เป็นโจทย์ของผู้เรียน และให้ผู้เรียนสามารถทำความเข้าในเรื่องที่เป็นหลักคิดหรือนิยามได้อย่างถ่องแท้

เรียบเรียงโดย BIEROTTO
19 มีนาคม 2564
1.1K

การเห็นลูกศิษย์ของตัวเองที่อยู่ในช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่ออยู่กับโลกออนไลน์มากเกินไป กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ ‘ครูเอ๋’ ปัญชลีย์ ฉัตรอริยวิชญ์ ได้ออกแบบวางแผนหน่วยการเรียนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐานในการจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาจัดกระบวนการ และนำกิจกรรมงานฝีมือ งานศิลปะ มาจัดกิจกรรมเพื่อช่วยให้นักเรียนนำศักยภาพที่ตนเองมีอยู่แสดงออกมา ซึ่งความยากคือ การเปลี่ยนโจทย์ของครูให้เป็นโจทย์ของผู้เรียน และให้ผู้เรียนสามารถทำความเข้าในเรื่องที่เป็นหลักคิดหรือนิยามได้อย่างถ่องแท้ 
.
.
PLC อยู่ให้เป็นสุข-FINAL-01.jpg
อยู่ให้เป็นสุข ด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
.

ในยุคที่เทคโนโลยีเจริญแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะการสื่อสารรวมถึงการเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็ทำให้คนจำนวนมากเกิดการเสพติดสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่เสี่ยงต่อพฤติกรรมเลียนแบบ และความก้าวร้าวบนโลกออนไลน์ ‘ครูเอ๋’ ปัญชลีย์ ฉัตรอริยวิชญ์ โรงเรียนบ้านปะทาย จังหวัดศรีสะเกษ จึงมีแนวคิดการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาให้เด็ก ๆ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในชั้นเรียน ได้เรียนรู้การดำเนินชีวิตอย่างมั่นคงในกระแสสังคมที่กำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว ผ่านงานฝีมือรูปแบบต่าง ๆ ที่ทำให้เด็กยังคงเห็นคุณค่าและภูมิใจในวิถีของชุมชนตนเอง ในชื่อหน่วยการเรียนรู้ “ระบาย (สาร) สานรัก”

 

แรงบันดาลใจครู (ปัญหาที่ครูมองเห็น)

  • มองเห็นพฤติกรรมของเด็กในช่วงระบาด Covid-19 ที่ใช้เวลาบนโลกออนไลน์มากเกินไป เกิดการเสพติดสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวลดลง
  • พฤติกรรมเลียนแบบจากสังคมออนไลน์ เช่น ค่านิยมตามแฟชั่น ความก้าวร้าวและนิยมใช้ความรุนแรงจากเกมออนไลน์บางประเภท โดยภาพรวมส่งผลออกมาในลักษณะการใช้จ่ายเกินตัว

บทบาทครู

  • แสดงออกชัดเจนในบทบาทของ Facilitator ที่คอยสนับสนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียน โดยมีการสลับบทบาทเป็น Coach ในบางช่วง เพื่อกระตุ้นกระบวนการคิดของเด็ก ๆ ด้วยคำถาม

กลุ่มเป้าหมาย

  • นักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2
    • นักเรียนกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนที่ค่อนข้างรุนแรงของช่วงวัยรุ่น ช่วงวัยนี้ต้องการความเข้าใจ รวมทั้งกระบวนการที่ช่วยให้นักเรียนเข้าใจตนเอง ผู้อื่น แสดงออกในทางที่เหมาะสม
    • ผู้เรียนเป็นกลุ่มที่มีความคุ้นเคยกับครูเอ๋ (มีการสอนต่อเนื่อง) ทำให้รู้ว่าเด็กมีความสนใจงานศิลปะ และงานฝีมือต่าง ๆ

ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน

  • ผู้เรียนมีความเข้าใจ สามารถออกแบบการใช้ชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
  • ผู้เรียนตระหนักถึงความเข้าใจของความต้องการของตน และคุณค่าของการใช้ชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้เหมาะสมกับตนเอง

เครื่องมือหรือแนวคิดที่นำมาใช้

  • หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่มีจุดมุ่งหมายโดยหลักใหญ่ใจความ คือ 1). ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัฒน์ 2). สร้างภูมิคุ้มกันเพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง และ 3). สร้างความสมดุล ซึ่งหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสามารถเอาไปปรับใช้ในการเรียนและชีวิตประจำวันได้หลัก ๆ คือ การเลือกหรือกำกับพฤติกรรมการบริโภคของตนเอง การพึ่งตนเอง และออกแบบการทำงาน/การเรียน และการแก้ปัญหา
  • กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based Learning : PBL) เรียนจากการหาโจทย์ปัญหาเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ แล้วเอาประสบการณ์จากการปฏิบัติมาตีความเพื่อทำความเข้าใจหลักการ (Concept) เรื่อง “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” โดยใช้กระบวนการสะท้อนคิด (Reflection)

เรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Active Learning) เป็นหัวใจของการออกแบบการเรียนรู้เกี่ยวกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพราะผู้เรียนจะเกิดประสบการณ์เพื่อเชื่อมโยงกลับมาที่หลักการได้จะต้องเกิดจากการลงมือปฏิบัติก่อน และผู้เรียนจะได้ฝึกทักษะชีวิตควบคู่กันไปด้วย แต่สิ่งสำคัญคือ เมื่อลงมือทำแล้วครูต้องกระตุ้นให้เด็กได้สะท้อนคิด (Reflection) ด้วยทุกครั้ง

.

.

PLC อยู่ให้เป็นสุข-FINAL-02.jpg

ระบาย (สาร) สานรัก

.

ระบาย (สาร) สานรัก เป็นหน่วยการเรียนรู้ที่ ‘ครูเอ๋’ ปัญชลีย์ ฉัตรอริยวิชญ์ ได้จัดทำปฏิทินการเรียนรู้ไว้ 9  สัปดาห์ โดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาจัดกระบวนการ และนำกิจกรรมงานฝีมือ งานศิลปะ มาจัดกิจกรรม โดยครูเอ๋วางแผนว่าหลังจากเรียนหน่วยนี้แล้ว K S A  ที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก คือ

  • ความรู้ (Knowledge) ได้แก่ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สารและสสารในชีวิตประจำวัน การแยกสาร สกัดสี การเพ้นท์ การย้อมสีพืช เศรษฐศาสตร์ การลงทุน และระบบเศรษฐกิจ
  • ทักษะ (Skills)
    • การทำงานเป็นทีม ได้แก่ การสื่อสาร การนำเสนอ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างมีเหตุผล
    • กระบวนการคิด ได้แก่ การคิดเชื่อมโยง คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ การคาดการณ์ จัดชุดความรู้ ออกแบบการเรียนรู้ของตนเองได้ การคิดสร้างสรรค์ และการใช้เทคโนโลยี
  • ทัศนคติ/คุณสมบัติ (Attitude/Attribute)
    • มีเป้าหมายในการทำงาน ได้แก่ มีความกระตือรือร้น เอาใจใส่ และความรับผิดชอบต่อหน้าที่
    • สามารถปรับตัวได้ดี ได้แก่ มีความเป็นผู้นำ-ผู้ตามที่ดีตามสถานการณ์ขณะนั้น ปฎิบัติตามกฎระเบียบต่อสังคม ใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า รับฟังและกล้าแสดงความคิดเห็น และเคารพสิทธิ์ของผู้อื่น/ตนเอง

หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นเรื่องที่เด็กอายุ 13 – 14 ปี ทำความเข้าใจได้ยาก ครูเอ๋จึงต้องมีการร้อยเรียงกิจกรรมเพื่อสร้างนั่งร้านความรู้ (Scaffolding) พาเด็กไต่ระดับความรู้ในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งครูเอ๋ให้ความสำคัญกับสัปดาห์แรกเนื่องจากต้องสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กอยากเรียนรู้และรู้สึกเป็นเจ้าของการเรียนรู้นั้น

โดยสรุป Timeline การเรียนรู้ทั้ง 9 สัปดาห์ ถูกออกแบบเพื่อก่อให้เกิดการเรียนรู้ไว้ ดังนี้

  • สัปดาห์ที่ 1 สร้างแรงบันดาลใจ สร้างแรงบันดาลใจ วางแผนออกแบบกิจกรรมร่วมกับเด็ก วิเคราะห์สิ่งผู้เรียนอยากเรียนรู้ นำไปสู่การออกแบบปฏิทินการเรียนรู้ร่วมกัน
  • สัปดาห์ที่ 2 สารรอบตัวต้องรู้ ทำความรู้จักสารที่อยู่รอบตัว พร้อมทดลองแยกสีจากสารที่หาได้ในชีวิตประจำวัน
  • สัปดาห์ที่ 3 สีสัน สารรัก ศึกษาประวัติศาสตร์สี สีที่เหมาะกับพื้นผิวรูปแบบต่าง ๆ เลือกวีธีแยกสารสกัดสี และทดลองสกัดสีจากธรรมชาติ
  • สัปดาห์ที่ 4 ระบายตามอารมณ์ ศึกษาการเพ้นท์ ให้ผู้เรียนเลือกสีและทดลองเพ้นท์ลงบนเสื้อ/กระเป๋า ฯลฯ โดยวางกติกาให้ทำอยู่บนหลักความพอเพียง (ใช้สีที่มีอยู่อย่างประหยัดและคุ้มค่า)
  • สัปดาห์ที่ 5 สานร้อยรัก ศึกษาค้นคว้าภูมิปัญญาเรื่องการสาน และฝึกทักษะงานสานรวมทั้งออกแบบงานสานให้เป็นของใช้ (งานต้นแบบ) จากวัสดุที่มีได้อย่างคุ้มค่า
  • สัปดาห์ที่ 6 พอเพียงอย่างไรดี เป็นหัวใจของหน่วยนี้ เด็กๆ จะทำการเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ผ่านคลิปการใช้เงินของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) และให้เด็กวิเคราะห์ชีวิตการใช้จ่ายของตนเองและครอบครัวประจำวันว่าทำอะไรบ้าง และคิดถึงผลที่ทำหรือไม่ ด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
  • สัปดาห์ที่ 7 - 8 สื่อรักแทนใจ ศึกษาเรื่องการลงทุน การตลาด และทำกิจกรรมกลุ่มด้วยการออกแบบ ทำผลิตภัณฑ์หรืองานบริการ “สื่อรักแทนใจ” ทำอย่างไรให้คุ้มค่าการลงทุนโดยอาศัยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
  • สัปดาห์ที่ 9 เปิดร้าน และ สรุปองค์ความรู้ ให้เด็ก ๆ สรุปองค์ความรู้เชิงนิทรรศการนำเสนอผลงาน ทั้งรูปแบบ ชิ้นงาน กิจกรรม การแสดง คลิป พร้อมประเมินการเรียนของตนเองและเพื่อนร่วมชั้นเรียน

ตลอดทั้งควอร์เตอร์ของการเรียนรู้จะมีกระบวนการคู่ขนานสำคัญในทุกสัปดาห์ นั่นคือ การทบทวนหลังปฎิบัติงาน (After Action Review : AAR) และ การสะท้อนคิด (Reflection) หลังกิจกรรม เพื่อประเมินและพัฒนาการเรียนรู้ โดยครูเอ๋จะมีบทบาทสำคัญในการตั้งคำถามเพื่อให้เด็กนั้นถอดบทเรียนของตนเองได้
.
.
PLC อยู่ให้เป็นสุข-FINAL-03.jpg

 

ถอดบทเรียนครู สู่การปรับใช้

.

กระบวนการเรียนรู้ตลอด 9 สัปดาห์ ทำให้ ‘ครูเอ๋’ ปัญชลีย์ ได้เรียนรู้จากการลงมือทำของครูเอง และเห็นการเรียนรู้ของตัวเอง (Assessment as Learning) และเกิดการเรียนรู้อย่างเห็นได้ชัดซึ่งเป็นคุณสมบัติหนึ่งของ Visible Teaching ซึ่งครูเอ๋ได้เห็นจุดที่ต้องพัฒนาสำหรับออกแบบกระบวนการสอนในครั้งต่อไป ดังนี้

  • หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงควรนำไปเรียนตั้งแต่สัปดาห์แรก และนำมาวิเคราะห์หรือสะท้อนคิดกับทุกกิจกรรมที่นักเรียนปฏิบัติ เพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจและสามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริงมากขึ้น ซึ่งประเด็นนี้เกิดจากการสะท้อนคิดร่วมกับนักเรียนในสัปดาห์ที่ 6 นำไปสู่การปรับใช้จริงในการออกแบบกระบวนการสอนในครั้งถัดไป (นักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 5)
  • ความหลากหลายของกิจกรรมที่ครูวางไว้มีมากเกินไป ไม่สอดคล้องกับเวลาและทรัพยากร ทำให้เด็กเรียนรู้ได้ไม่เต็มที่ จึงควรลดกิจกรรมลง หรือ แบ่งกลุ่มในการเรียนรู้ เพื่อให้เหมาะสมกับเวลา
  • กิจกรรมที่ต้องลงมือปฏิบัติควรเพิ่มระยะเวลาให้นานขึ้น เช่น การทดลองแยกสาร การสกัดสี เพื่อให้นักเรียนได้มีเวลาในการลงมือปฏิบัติ แก้ไขปัญหา และพัฒนา โดยเฉพาะการทดลองใช้สีสกัดกับผ้าหรือสร้างงานศิลปะที่น่าสนใจต่อเนื่องซึ่งจะทำให้กิจกรรมจะมีความหมายมากขึ้น
  • อาจแยกกิจกรรมออกเป็นหน่วยย่อย เช่น การเพ้นท์ การสาน หรือ ธุรกิจ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนที่ลงลึกในเรื่องนั้น ๆ
  • ออกแบบการประเมินร่วมกันกับนักเรียนในทุกกิจกรรม เพื่อให้ผู้เรียนทราบเกณฑ์ที่ระบุตามวัตถุประสงค์ของแต่ละกิจกรรมได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้ที่มีความหมายมากขึ้น

.
.
PLC อยู่ให้เป็นสุข-FINAL-04.jpg


เติมเต็มจาก Workshop เพื่อพัฒนาการสอน

.
การเข้าร่วม Workshop ครั้งที่ 1: “จัดการความรู้และเติมความรู้” โครงการครูเพื่อศิษย์ สร้างการเรียนรู้สู่ระดับเชื่อมโยงออนไลน์ ทำให้ ‘ครูเอ๋’ ปัญชลีย์ ฉัตรอริยวิชญ์ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนครู และผู้ทรงคุณวุฒิ นำไปสู่การนำไปปรับใช้ในการออกแบบกระบวนการเรียนการสอนในภาคการศึกษาต่อไป 

  • ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแก่น แต่มุ่งเน้นเรื่อง “ภูมิคุ้มกัน” ในทุกกิจกรรม เนื่องจากครูเห็นแล้วว่าห่วงภูมิคุ้มกันสำคัญที่สุด ครูต้องชี้ให้เห็นภูมิคุ้มกันใน 4 มิติ ว่าแต่ละมิติสำคัญกับเด็กอย่างไร เช่น อะไรคือภูมิคุ้มกันวัฒนธรรม หรือ อะไรคือการเสียอัตลักษณ์จากการไม่มีภูมิคุ้มกันทางวัฒนธรรมจนเสียภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจให้กับคนอื่น เป็นต้น
  • นำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปอยู่ในการเรียนรู้ผ่านการสะท้อนคิดในงานที่ทำในทุกสัปดาห์ หลังการเข้าร่วม Workshop ครูเอ๋ทำการปรับกระบวนการเรียนรู้ใหม่ (การเข้าร่วม Workshop เกิดขึ้นระหว่างปฏิทินการเรียนรู้ที่ผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์) นอกเหนือจากการเอาหัวข้อ “ภูมิคุ้มกัน” ไปบูรณาการในทุกหัวข้อของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ยังมีการนำเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปอยู่ในการเรียนรู้ผ่านการสะท้อนคิดในงานที่ผู้เรียนต้องทำในทุกสัปดาห์ด้วย
  • สร้างแรงบันดาลใจ และให้เนื้อหาหรือชุดประสบการณ์ก่อนพาเข้าบทเรียน เพื่อให้นักเรียนตื่นตัวและพร้อมที่จะร่วมแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้หลักการ (Concept) หัวข้อที่จะเรียน โดยให้กลุ่มกระบวนการทางสังคมโยงยึด เช่น ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ต่อหมู่คณะ ความเพียร โดยกระบวนการทำอย่างมีเงื่อนไข มีกติกา
  • วางเป้าหมายการเรียนรู้ให้ชัดเจน กำหนดแนวทางในการออกแบบกิจกรรม เพื่อง่ายต่อการตั้งคำถาม และการวัดประเมิน หากการจัดกิจกรรมมีปัญหาและจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยน ครูต้องยึดตามเป้าหมายที่วางไว้ไม่หลุดจากเป้าหมายที่ต้องการ
  • วางวัตถุประสงค์ในแต่ละสัปดาห์ให้ชัดเจน ทั้งด้านความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะต้องการ ซึ่งจะทำให้เราออกแบบกิจกรรมได้ชัดเจนมากขึ้น
  • สร้างประสบการณ์ให้นักเรียนด้วยการพาไปศึกษานอกสถานที่ตามความเหมาะสม และให้ผู้เรียนทราบว่าเขาต้องเรียนรู้อะไรจากการลงพื้นที่ในแต่ละครั้ง การสอนก่อนหน้านี้ หากมีการเรียนรู้นอกสถานที่ครูเอ๋จะพาไปเลยแล้วแจ้งนักเรียนในขณะนั้นทันทีว่าเราจะเรียนเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่หลังการเข้าร่วม Workshop ครูเอ๋จะหาวีดีโอแนะนำสถานที่ให้นักเรียนดูก่อน หรือมีการให้เขาค้นคว้าว่าก่อนจะไปควรรู้อะไรก่อน และครูจะมีบทบาทชวนเด็กคุยว่า เมื่อไปเรียนรู้ ณ ที่นั้น ๆ จะได้เรียนรู้อะไร นักเรียนจะมีวิธีการเรียนรู้อย่างไร เพื่อบรรลุเป้าหมายในการเรียนรู้นี้ เมื่อกลับมาก็จะมีการถอดบทเรียนอีกครั้ง นอกจากการพาไปศึกษานอกสถานที่ ครูเอ๋ยังมีการให้เด็กเกิดการเรียนรู้ระหว่างวัย คือ การสอบถามข้อมูลความรู้จากผู้ปกครอง หรือ ครูที่มีความต่างของหลายช่วงวัย เป็นกระบวนการทำให้เด็กและผู้ใหญ่มีความใกล้ชิดและเข้าใจกันมากขึ้นด้วย
  • การใช้คำถามในการถอดบทเรียน เพื่อช่วยให้นักเรียนมองเห็นวิธีการเรียนรู้เพื่อสร้างการเรียนรู้ของตนเอง และมองเห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำทำให้เกิดคุณลักษณะที่ต้องการ
  • ให้นักเรียนเขียนบันทึก (Documentation) ทุกวัน โดยมีเป้าหมายให้มองเห็นตัวตนในแต่ละวัน ทั้งความรู้โลกภายนอก และพัฒนาโลกภายใจ
.
.
PLC อยู่ให้เป็นสุข-FINAL-05.jpg


เปลี่ยนโจทย์ครูให้เป็นโจทย์เด็ก
.

การเปลี่ยนโจทย์ครูให้เป็นโจทย์เด็ก หมายความว่าเป้าประสงค์ของหลักสูตรยังคงอยู่ แต่เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ (Ownership) จุดจ้องมองสำคัญ คือ เมื่อโจทย์ของครูกลายเป็นโจทย์ของเด็กแล้ว การนำไปใช้จริงได้ผลอย่างไร สามารถเป็นโจทย์ที่มีชีวิตชีวา ผู้เรียนสัมผัสได้ถึงความเป็นเจ้าของการเรียนรู้นั้น แต่ว่ายังอยู่ในธีม (Theme) ที่ยังสามารถดูแลให้เป็นไปตามหลักสูตรได้หรือไม่


จากเรื่องเล่า ‘ครูเอ๋’ ปัญชลีย์ ฉัตรอริยวิชญ์ มีโจทย์หลัก คือ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สามารถสรุปปัจจัยสำคัญที่ทำให้โจทย์ของครูกลายเป็นโจทย์ของเด็กได้ ดังนี้

  • ใช้คำถามปลายเปิด จุดเด่นของครูเอ๋ คือ การตั้งคำถามชวนคิด ซึ่งมีลักษณะเป็นคำถามปลายเปิด ทั้งในรูปแบบคำถามเริ่มต้นและคำถามโต้ตอบกับเด็ก เพื่อเปิดทางให้เด็กตั้งโจทย์ต่อจากที่ตัวเองมีอยู่แล้ว เช่น “เราเรียนหน่วยนี้เราจะมีความเข้าใจในเรื่องใดบ้าง?”, “มีอะไรน่าสนใจและอยากรู้เพิ่มเติม?”, หรือ  “พี่ ๆ คิดว่าอะไรที่จะช่วยให้งานเราสำเร็จ?” เป็นต้น การใช้คำถามปลายปิดหรือการบอกคำตอบเด็กตรง ๆ จะทำให้เด็กไม่อยากมีโจทย์การเรียนเป็นของตัวเอง เพราะผู้เรียนจะรู้สึกว่าถูกกำหนดโดยการเรียนโดยครูไว้แล้ว แต่ขณะเดียวกันมีข้อควรระวัง คือ การใช้คำถามเพื่อให้เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้จริง ๆ ไม่ควรวางคำถามมากเกินไป ครูอาจใช้คำถามเริ่มต้นไม่มาก แล้วปล่อยให้เป็นกระบวนการการซักถาม การคุยกันของเด็ก ภายใต้การตั้งเงื่อนไขของครูเพื่อไม่ให้เด็กหลุดประเด็น โดยครูเพียงแค่เป็นผู้สังเกตการณ์
  • ครูทำหน้าที่ Facilitator ควบคู่กับการเป็น Coach จากเรื่องเล่าบทบาทครูเอ๋ที่ชัดเจน คือ ทำหน้าที่เป็น Facilitator พยายามสนับสนุนให้เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ แต่บางขณะครูต้องทำหน้าที่เป็น Coach ด้วย เมื่อกระบวนการเรียนรู้ของเด็กหลุดออกนอกเส้นทางที่ครูตั้งเป้าไว้ ด้วยการตั้งคำถามเพื่อต้อนการเรียนรู้ของเด็กให้กลับมาสู่เป้าหมายที่ครูตั้งไว้ เพราะการเรียนที่ให้เด็กลงมือปฏิบัติลองผิดลองถูก เด็กมักจะทำผิดมากกว่าถูกเสมอ ครูจึงต้องมีทักษะ Coach ถามคือสอน เพื่อชี้แนะแนวทางในการหาคำตอบที่ถูกต้องของเด็ก และทำให้เด็กเกิดทัศนะคติในการต่อสู้กับความยากในการแก้ปัญหา
  • การทำให้สมองของเด็กเสียเสถียร ด้วยการมอบภารกิจงาน การให้ชุดประสบการณ์ที่ทำให้เด็กเกิดความประทับใจหรือไปรบกวนให้สมองของเด็กเกิดเสียเสถียรเชิงบวก หรือทำให้เกิดทั้งสองอย่าง เช่น การค้นคว้าเรื่องของศรีษะอโศก (ชุมชนที่มีรูปแบบการทำกสิกรรมธรรมชาติเพื่อการพึ่งตนเอง อยู่ในอำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ) หรือ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องสี วัสดุ ในชุมชนที่จะนำมาใช้ทดแทนวัตถุดิบที่ชุมชนขาดแคลน เป็นต้น เมื่อไหร่ก็ตามที่ Input เหล่านี้ของครูไปถึงขั้นประทับใจได้ ไปถึงการเสียเสถียรอย่างต่อเนื่องได้ ก็จะกลายเป็นโจทย์เด็ก และก็ไม่หลุดออกจากโจทย์ครูด้วย
  • สามารถคาดการณ์ได้ว่าเด็กต้องถูกท้าทายด้วยอะไรจึงจะอยากเกิดการเรียนรู้ จากเรื่องเล่า หน่วยการเรียนรู้ “ระบาย (สาร) สานรัก” มีการนำสาระวิชาจำนวนมาก ไม่จำเป็นต้องเอาทุกวิชาเข้ามาบูรณาการไว้ในหน่วยการเรียนทั้งหมด ตัวอย่างเช่น หน่วยเรียนรู้นี้ควรเน้นท้าทายความสามารถทางศิลปะของเด็ก เป็นต้น
  • ให้เด็กเรียนรู้ผ่านประสบการณ์มากกว่านิยามศัพท์ เป็นการเรียนจากการปฎิบัติก่อนเพื่อเข้าใจความหมาย แล้วจึงถอดประสบการณ์ออกมา ซึ่งมีความเหมาะสมกับเด็กวัยนี้ เด็กจะสามารถสรุปความรู้ขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง 

.
.
เรียบเรียงข้อมูลจาก

โครงการครูเพื่อศิษย์ สร้างการเรียนรู้สู่ระดับเชื่อมโยงออนไลน์ ครั้งที่ 7

ครูต้นเรื่อง : ครูปัญชลีย์ ฉัตรอริยวิชญ์ (ครูเอ๋)

สอนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มวิชาบูรณาการ (Problem based learning : PBL)

โรงเรียนบ้านปะทาย จังหวัดศรีสะเกษ
ดาวน์โหลดเอกสาร
PBL
VISIBLELEARNING
VISIBLETEACHING
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
INFOGRAPHIC
ONLINEPLCCOACHING7
BIEROTTO
นักเขียน
BIEROTTO
เด็กหงส์โดยสายเลือด ตกหลุมรักใน Lifestyle ยุค 90's ผู้อยากสื่อสารงานวิทยาศาสตร์ให้คนทั่วไปเข้าใจง่าย ๆ กับโอกาสครั้งใหม่ในการสื่อสารงานด้านการศึกษา
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
profile
กรุณา Login ก่อน comment